Google AI Edge Gallery แอปใหม่จากกูเกิล ใช้งาน AI ได้แบบออฟไลน์บนมือถือ
- Kattiya Jantas
- 2 มิ.ย.
- ยาว 1 นาที
Google ปล่อยแอปใหม่ “Google AI Edge Gallery” ให้คุณรันโมเดล AI สร้างภาพ ตอบคำถาม และแชทกับ AI ได้ทันทีบนมือถือ — ไม่ต้องใช้เน็ต!
เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมา Google ได้เปิดตัวแอปทดลองใหม่ชื่อว่า Google AI Edge Gallery แบบเงียบ ๆ ผ่าน GitHub ซึ่งน่าสนใจมากสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะสาย Generative AI ที่ต้องการใช้งานแบบ ออฟไลน์ (Offline) บนมือถือ Android (iOS กำลังจะตามมาเร็ว ๆ นี้)

จุดเด่นของ Google AI Edge Gallery
ใช้งานบนเครื่องได้แบบออฟไลน์ ไม่ต้องต่ออินเทอร์เน็ตหลังจากโหลดโมเดลแล้ว การประมวลผลทั้งหมดทำงานผ่านชิปประมวลผลบนมือถือของคุณ
เลือกและเปลี่ยนโมเดลได้อิสระ รองรับโมเดลจาก Hugging Face หลายตัว รวมถึงโมเดลของ Google เองอย่าง Gemma 3n
Ask Image: ถามคำถามจากรูปภาพ เช่น ขอคำอธิบายภาพ ระบุวัตถุ หรือให้ AI วิเคราะห์ภาพให้
Prompt Lab: สรุป เขียนใหม่ หรือสั่งให้ AI สร้างโค้ด ใช้คำสั่งสั้น ๆ เพื่อทดลองความสามารถของโมเดลในแต่ละงาน
AI Chat: สนทนาโต้ตอบหลายรอบ พูดคุยกับโมเดลได้เหมือนแชทกับแชตบอทหรือผู้ช่วย
ดูประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์ เช่น ความเร็วในการประมวลผล (TTFT), ความหน่วง และการถอดรหัส
รองรับโมเดลของคุณเอง (.task) เหมาะสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการทดสอบโมเดล LiteRT ของตน
มีลิงก์สำหรับนักพัฒนา เช่น model cards และซอร์สโค้ดสำหรับศึกษาเพิ่มเติม
เหตุผลที่ควรลองใช้ Google AI Edge Gallery
แม้โมเดล AI ที่รันบนคลาวด์จะทรงพลังกว่า แต่การใช้งานแบบออฟไลน์มีข้อดีหลายอย่าง เช่น:
ปลอดภัยและเป็นส่วนตัว ไม่ต้องส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์
ใช้งานได้แม้ไม่มีสัญญาณเน็ตหรือ Wi-Fi
เป็นเครื่องมือทดลองที่ดีสำหรับนักพัฒนาและผู้สนใจ AI
Google เปิดให้ดาวน์โหลดแอปเวอร์ชันทดลอง (Alpha) ผ่าน GitHub และเปิดกว้างให้ชุมชนนักพัฒนาเสนอฟีดแบ็กหรือรายงานบั๊กต่าง ๆ โดยแอปนี้ใช้ สัญญาอนุญาตแบบ Apache 2.0 ซึ่งสามารถใช้งานเชิงพาณิชย์หรือโครงการส่วนตัวได้โดยไม่จำกัด
ก้าวใหม่ของการใช้ AI แบบออฟไลน์
Google AI Edge Gallery คือก้าวใหม่ของ Generative AI บนมือถือ ที่เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปเข้าถึง AI ได้ง่ายขึ้น สะดวก ปลอดภัย และไม่จำกัดอยู่แค่บนคลาวด์อีกต่อไป หากคุณสนใจการใช้งาน AI แบบไม่พึ่งอินเทอร์เน็ต แอปนี้คือสิ่งที่ไม่ควรพลาด!
แหล่งที่มา: TechCrunch, GitHub
Comments